อาการท้องอืดมักเกิดจากพฤติกรรมการกินในชีวิตประจำวันของเรา ซึ่งหลายครั้งเราอาจเผลอกินจุเวลามีนัดปาร์ตี้สังสรรค์ รวมไปถึงการใช้ชีวิตที่เร่งรีบในปัจจุบันทำให้เราต้องกินอย่างรีบร้อน หรือกินแล้วไม่ค่อยได้ขยับร่างกายด้วยวิถีการทำงานที่ต้องนั่งอยู่หน้าคอมเป็นหลัก ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนมีส่วนทำให้เกิดอาการท้องอืดเนื่องจากอาหารไม่ย่อย หรือมีแก๊สในทางเดินอาหารมากเกินไป
วิธีแก้อาการท้องอืดง่าย ๆ หลังเจอมื้อหนัก
โดยปกติแล้วร่างกายจะสามารถกำจัดลมในท้องออกไปด้วยการเรอหรือผายลม แต่ในบางครั้งเราก็อาจเกิดอาการท้องอืดเป็นเวลานานหลายชั่วโมง พ่วงกับมีอาการจุกเสียด แน่นท้อง หรือหนักถึงขั้นคลื่นไส้ อาเจียน
ดังนั้น หากเกิดอาการท้องอืดก็ไม่ควรต้องทนทรมานกับความอึดอัด หรือรอให้อาการรุนแรงขึ้น แต่เราสามารถแก้อาการเบื้องต้นด้วยวิธีขับลมง่าย ๆ ดังนี้
- ใช้ยาช่วยย่อย และยาขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ เพื่อลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
- ขยับร่างกายด้วยการเดินช้า ๆ หลังมื้ออาหาร เพื่อไล่ลมและกระตุ้นการย่อยอาหาร
- ไม่สวมเสื้อผ้าที่รัดแน่นเพราะจะยิ่งไปเพิ่มความดันในช่องท้อง
- นวดเบา ๆ บริเวณหน้าท้อง เพื่อกระตุ้นการย่อยอาหาร และไล่ลมออกจากท้อง
อาการแบบไหน ควรรีบไปพบแพทย์
แม้เราจะสามารถใช้วิธีขับลมด้วยตัวเองเมื่อเกิดอาการท้องอืด รวมไปถึงการใช้ยาขับลมหรือยาช่วยย่อยเพื่อบรรเทาอาการ แต่ถ้าคุณมีอาการท้องอืด แน่นท้อง หรืออาหารไม่ย่อยบ่อย ๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานก็อย่านิ่งนอนใจ เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณของโรคในระบบทางเดินอาหาร
โดยหากคุณมีอาการท้องอืดมานานเกิน 2 สัปดาห์ หรือกินยาแล้วไม่ดีขึ้น รวมถึงมีอาการอื่นร่วมด้วยก็ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อรับการวินิจฉัยเพิ่มเติม
อาการแบบไหน ควรรีบไปพบแพทย์
- อาเจียนบ่อยติดต่อนาน ๆ หรืออาเจียนเป็นเลือด
- ท้องอืด แน่นท้อง ปวดท้องรุนแรง
- มีอาการซีด ตัวเหลือง ตาเหลือง
- ท้องผูกสลับท้องเสีย มีพฤติกรรมการขับถ่ายที่เปลี่ยนไป
- อุจจาระมีสีคล้ำ หรือมีมูกเลือดปน
- เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย น้ำหนักลดผิดปกติ
- ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือมีญาติสายตรงที่มีประวัติเป็นมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร
อาการท้องอืด แน่นท้อง หรืออาหารไม่ย่อย เป็นอาการทั่วไปและไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ถ้าหากเป็นบ่อยและสะสมมาเป็นเวลานาน หรือมีอาการอื่นร่วมด้วยก็ไม่ควรชะล่าใจ เนื่องจากถ้าปล่อยไว้อาการต่าง ๆ ก็อาจรุนแรงขึ้น หรือซ้ำร้ายอาจกลายเป็นโรคร้ายที่คุณไม่คาดคิด
เพราะฉะนั้นจึงควรหมั่นสังเกตตัวเอง หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจหาโรคอย่างละเอียด และรับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะมีโอกาสหายจากอาการและโรคในระบบทางเดินอาหารได้